0
0
Body Mass Index (BMI) ดัชนีมวลกาย เป็นค่าที่ได้มาจากน้ำหนักและส่วนสูงของบุคคล แม้จะดูเรียบง่าย แต่ก็เป็นตัวบ่งชี้วัดความสมดุลของน้ำหนักตัวและส่วนสูงที่ค่อนข้างน่าเชื่อถือสำหรับคนส่วนใหญ่ และสามารถใช้คัดกรองประเภทน้ำหนักที่อาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพได้
ค่าดัชนีมวลกายคำนวณโดยการหารน้ำหนักของบุคคลเป็นกิโลกรัมด้วยยกกำลังสองของส่วนสูงเป็นเมตร สูตรคือ:
BMI = น้ำหนัก(กก.) / [ส่วนสูง(ม.)]^2
BMI |
เกณท์ |
ภาวะเสี่ยงต่อโรค |
น้อยกว่า 18.50 |
น้ำหนักน้อย / ผอม |
มากกว่าคนปกติ |
ระหว่าง 18.50 - 22.90 |
น้ำหนักมาตรฐาน / ปกติ |
น้อยที่สุด (สุขภาพดี) |
ระหว่าง 23 - 24.90 |
น้ำหนักเกิน / ท้วม |
เสี่ยงมากกว่าคนปกติ |
ระหว่าง 25 - 29.90 |
โรคอ้วนระดับที่ 1 / อ้วน |
เสี่ยงต่อการเกิดโรค |
มากกว่า 30 |
โรคอ้วนระดับที่ 2 / อ้วนมาก |
เสี่ยงต่อการเกิดโรคร้ายแรง |
องค์การอนามัยโลก (WHO) และสถาบันสุขภาพแห่งชาติ (NIH) ได้กำหนดหมวดหมู่สำหรับค่าดัชนีมวลกาย และมีการใช้กันอย่างแพร่หลายในระดับสากล นี่คือความหมายของแต่ละช่วงในคำถามของคุณ:
BMI ถือว่าน้อยไป ค่าดัชนีมวลกายน้อยกว่า 18.5 แสดงว่าบุคคลนั้นมีน้ำหนักน้อยเมื่อเทียบกับส่วนสูง ผู้ที่มีน้ำหนักน้อยอาจได้รับคำแนะนำให้เพิ่มน้ำหนัก เนื่องจากน้ำหนักตัวที่น้อยอาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพได้ :ซึ่งหากค่าดัชนีมวลกายของคุณน้อยกว่า 18.5 ถือว่าคุณมีน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ การมีน้ำหนักน้อยอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพ เช่น ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ โรคกระดูกพรุน ภาวะทุพโภชนาการ และปัญหาภาวะเจริญพันธุ์
BMI นี่ถือเป็นช่วงน้ำหนักที่ดีต่อสุขภาพ โดยเฉพาะสำหรับเราที่เป็นคนเอเชีย ตามข้อมูลของ WHO คนที่มีค่าดัชนีมวลกายอยู่ในช่วงนี้โดยทั่วไปจะมีน้ำหนักที่เหมาะสมเมื่อเทียบกับส่วนสูง การรักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์นี้จะดีต่อสุขภาพสามารถลดความเสี่ยงของการเกิดโรคที่เกี่ยวข้องกับน้ำหนักเกินและโรคอ้วนได้
โดยทั่วไปแล้วค่าช่วงนี้จัดอยู่ในประเภทน้ำหนักเกิน ผู้ที่มีน้ำหนักเกินอาจได้รับคำแนะนำให้ลดน้ำหนักลงบ้าง เนื่องจากการมีน้ำหนักเกินจะเพิ่มความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพ เช่น โรคหัวใจ เบาหวานชนิดที่ 2 และมะเร็งบางชนิด
โดยทั่วไปถือว่าน้ำหนักเกินสำหรับประชากรส่วนใหญ่ตาม WHO และ NIH เป็นตัวบ่งชี้ที่ชัดเจนว่าบุคคลนั้นมีไขมันในร่างกายมากเกินไป ซึ่งอาจทำให้มีความเสี่ยงสูงต่อภาวะแทรกซ้อนทางสุขภาพ
ค่าดัชนีมวลกายตั้งแต่ 30 ขึ้นไปจัดอยู่ในประเภทโรคอ้วน โรคอ้วนมีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่สูงขึ้นอย่างมากต่อภาวะสุขภาพที่อันตราย รวมถึงโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดสมอง เบาหวานชนิดที่ 2 และมะเร็งบางชนิด หากบุคคลมีค่าดัชนีมวลกายตั้งแต่ 30 ขึ้นไป พวกเขาควรพิจารณาปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับทางเลือกต่างๆ เพื่อให้สามารถคุมน้ำหนักได้ในเกณฑ์ดีต่อสุขภาพ
โปรดทราบว่า แม้ว่าค่าดัชนีมวลกายจะเป็นตัวบ่งชี้ที่ดีเกี่ยวกับความสมดุลของน้ำหนักตัวและส่วนสูง ซึ่งสามารถนำไปหาค่าปริมาณไขมันในร่างกายได้ แต่ก็มีข้อจำกัดบางอย่างอยู่เหมือนกัน เช่น อาจประเมินไขมันในร่างกายสูงเกินไปในนักกีฬาและผู้ที่มีกล้ามเนื้อแข็งแรง และอาจประเมินไขมันในร่างกายต่ำเกินไปในผู้สูงอายุหรือคนอื่นๆ ที่สูญเสียมวลกล้ามเนื้อ
ดังนั้น หากเราต้องการวัดความอ้วนหรือไขมัน ควรใช้ค่า BMI เป็นจุดเริ่มต้น และควรใช้การวัดและปัจจัยอื่นๆ ประกอบด้วย เช่น รอบเอว อาหาร ระดับการออกกำลังกาย พันธุกรรม ฯลฯ
สูตรด้านบนคือสูตรที่ปรับการคำนวณหาเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกายของคนเอเชีย สามารถคำนวณได้โดยใช้สมการ Deurenberg et al ที่ดัดแปลงเล็กน้อย
ปริมาณไขมันในผู้หญิง |
ปริมาณไขมันในผู้ชาย |
แสดงถึง |
10-13% |
3-6% |
ไขมันน้อยในขั้นวิกฤติ |
14-20% |
7-13% |
ไขมันน้อยมาก |
21-25% |
14-17% |
ไขมันน้อย |
26-31% |
18-22% |
ปกติ |
32-39% |
23-29% |
ท้วม อวบ |
40% ขึ้นไป |
30% ขึ้นไป |
อ้วน |
เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ "นโยบายความเป็นส่วนตัว" และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ "จัดการคุ๊กกี้"